พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในโลกยุคดิจิทัล


พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในโลกยุคดิจิทัล

บทความโดย : สุทิน เจียมประโคน


ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทั่วโลก เราพบว่ามีหลายพฤติกรรมที่เป็นปัญหาและมีผลกระทบที่สำคัญต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ต่อไปนี้คือตัวอย่างของพฤติกรรม

การเสพติด (addicted) กับสื่อสังคมออนไลน์: การใช้งานสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่องและเกินขนาดสามารถก่อให้เกิดการติดสารเคมีที่มีผลกระทบต่อสมอง เป็นต้น (อ้างอิง: Kuss, D. J., & Griffiths, M. D. (2017). Social Networking Sites and Addiction: Ten Lessons Learned. International Journal of Environmental Research and Public Health, 14(3), 311.)


การแพร่ระบาดของข่าวปลอม (Fake News): การเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านสื่อสังคมออนไลน์มีผลกระทบต่อข้อมูลที่ถูกต้องและก่อให้เกิดความสับสนในสังคม นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความแตกแยกและขัดแย้งทางการเมืองได้ (อ้างอิง: Allcott, H., & Gentzkow, M. (2017). Social Media and Fake News in the 2016 Election. Journal of Economic Perspectives, 31(2), 211-236.)


การละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรังเกียจ (Cyberbullying): การใช้เทคโนโลยีและโพลารอยด์เพื่อทำร้ายผู้อื่น ซึ่งสามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตใจและการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เป็นเป้าหมาย (อ้างอิง: Hinduja, S., & Patchin, J. W. (2015). Bullying Beyond the Schoolyard: Preventing and Responding to Cyberbullying. Corwin.)


การเกิดอาชญากรรมออนไลน์: การใช้เทคโนโลยีเพื่อการฉ้อโกง การแอบดักจับข้อมูลส่วนตัว หรือการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งสร้างความเสียหายและความไม่ปลอดภัยในโลกดิจิทัล (อ้างอิง: Holt, T. J., & Bossler, A. M. (2015). Cybercrime in Progress: Theory and Prevention of Technology-Enabled Offenses. Routledge.)


สุขภาพจิตออนไลน์: การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการแสดงออกทางจิตใจที่ไม่เป็นสุขภาพ รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจกระทบต่อสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของผู้อื่น (อ้างอิง: Berryman, C., Ferguson, C. J., & Negy, C. (2018). Social Media Use and Mental Health among Young Adults. Psychiatric Annals, 48(9), 448-452.) ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมเหล่านี้มีผลกระทบทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม การเข้าใจและการสอนวิธีใช้เทคโนโลยีอย่างรอบด้านและการสร้างนโยบายที่เหมาะสมอาจช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ในอนาคต


ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่: การเก็บรวบรวมและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์และขอบเขตของการใช้ข้อมูล ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความเสียหายต่อสิทธิส่วนบุคคล (อ้างอิง: Nissenbaum, H. (2011). A Contextual Approach to Privacy Online. Daedalus, 140(4), 32-48.)


การเสพติดเทคโนโลยี: การใช้งานเทคโนโลยีอย่างหลงตัวและมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การใช้งานมือถือเป็นเวลานานหรือการเล่นเกมออนไลน์เกินไป (อ้างอิง: Elhai, J. D., Dvorak, R. D., Levine, J. C., & Hall, B. J. (2017). Problematic Smartphone Use: A Conceptual Overview and Systematic Review of Relations with Anxiety and Depression Psychopathology. Journal of Affective Disorders, 207, 251-259.)


ภาวะเครียดและซึมเศร้าทางออนไลน์: การเผชิญกับการแสดงออกของความเครียดและซึมเศร้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบทางจิตใจและสังคมทั้งต่อผู้ประสบปัญหาและผู้ใช้สื่อ (อ้างอิง: Moreno, M. A., Jelenchick, L. A., Egan, K. G., Cox, E., Young, H., & Gannon, K. E. (2011). Feeling Bad on Facebook: Depression Disclosures by College Students on a Social Networking Site. Depression and Anxiety, 28(6), 447-455.)


การขาดความสมดุลในการใช้ชีวิตออนไลน์: การใช้เทคโนโลยีออนไลน์ในปริมาณมากเกินไปทำให้เกิดความขาดสมดุลในการใช้ชีวิตที่เป็นปัญหา เช่น การเสียเวลาที่มากเกินไปในโลกออนไลน์และลดเวลาสังสรรค์กับผู้คนในโลกแห่งจริง (อ้างอิง: Rosen, L. D., Whaling, K., Rab, S., Carrier, L. M., & Cheever, N. A. (2013). Is Facebook Creating "iDisorders"? The Link between Clinical Symptoms of Psychiatric Disorders and Technology Use, Attitudes and Anxiety. Computers in Human Behavior, 29(3), 1243-1254.)


การขาดความสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาทางสังคม: การเกิดภาวะความแตกต่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตระหว่างประชากร ทำให้เกิดความเส้นความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เสมอภาครับ (อ้างอิง: Warschauer, M. (2003). Technology and Social Inclusion: Rethinking the Digital Divide. The MIT Press.)


การทำความเข้าใจและการทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาเหล่านี้สำคัญเพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่มีความยั่งยืนและสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกคนในระยะยาว


References

Kuss, D. J., & Griffiths, M. D. (2017). Social Networking Sites and Addiction: Ten Lessons Learned. International Journal of Environmental Research and Public Health, 14(3), 311.


Allcott, H., & Gentzkow, M. (2017). Social Media and Fake News in the 2016 Election. Journal of Economic Perspectives, 31(2), 211-236.


Hinduja, S., & Patchin, J. W. (2015). Bullying Beyond the Schoolyard: Preventing and Responding to Cyberbullying. Corwin.


Holt, T. J., & Bossler, A. M. (2015). Cybercrime in Progress: Theory and Prevention of Technology-Enabled Offenses. Routledge.


Berryman, C., Ferguson, C. J., & Negy, C. (2018). Social Media Use and Mental Health among Young Adults. Psychiatric Annals, 48(9), 448-452.


Nissenbaum, H. (2011). A Contextual Approach to Privacy Online. Daedalus, 140(4), 32-48.


Elhai, J. D., Dvorak, R. D., Levine, J. C., & Hall, B. J. (2017). Problematic Smartphone Use: A Conceptual Overview and Systematic Review of Relations with Anxiety and Depression Psychopathology. Journal of Affective Disorders, 207, 251-259.


Moreno, M. A., Jelenchick, L. A., Egan, K. G., Cox, E., Young, H., & Gannon, K. E. (2011). Feeling Bad on Facebook: Depression Disclosures by College Students on a Social Networking Site. Depression and Anxiety, 28(6), 447-455.


Rosen, L. D., Whaling, K., Rab, S., Carrier, L. M., & Cheever, N. A. (2013). Is Facebook Creating "iDisorders"? The Link between Clinical Symptoms of Psychiatric Disorders and Technology Use, Attitudes and Anxiety. Computers in Human Behavior, 29(3), 1243-1254.


Warschauer, M. (2003). Technology and Social Inclusion: Rethinking the Digital Divide. The MIT Press.



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ภาวะซึมเศร้า: อาการ สาเหตุ และการรักษา

บุคลิกภาพ (personal branding)

ความเครียด: องค์ประกอบที่สัมผัสทุกวันแห่งชีวิต